ตั้งสติ
ตั้งสติ
เราอยู่ในสังคมที่ผู้คนขาดความฉลาดทางอารมณ์ และไม่สามารถควบคุมจิตใจของ
ตนเองให้หลุดลอยไปกับความคิดที่วอกแวกได้ เอาชนะสิ่งนี้ด้วยการนั่งสมาธิ
อย่างน้อย 10 นาทีทุกวัน
(เพิ่มเป็น 15 นาทีใน 10 วันที่ผ่านมา)
ดีที่สุด!
ตั้งสติ
เราอยู่ในสังคมที่ผู้คนขาดความฉลาดทางอารมณ์ และไม่สามารถควบคุมจิตใจของ
ตนเองให้หลุดลอยไปกับความคิดที่วอกแวกได้ เอาชนะสิ่งนี้ด้วยการนั่งสมาธิ
อย่างน้อย 10 นาทีทุกวัน
(เพิ่มเป็น 15 นาทีใน 10 วันที่ผ่านมา)
ดีที่สุด!
#ดูไม่ออกว่าการเข้าสมาธิของเจ้าก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว#การเข้าสมาธิจนได้ฌานวิญญาณสามารถออกจากร่างได้ ไปเที่ยวทุกสารทิศ เบื้องล่างดูความวุ่นวายของโลกมนุษย์ เบื้องบนก็สามารถเห็นพุทธภูมิที่สะอาดสงบ เมื่อเธอสามารถเข้าสมาธิได้ก็ควรยินดี#แต่การเข้าสมาธิต้องมีจิตแน่วแน่#ไม่มีความคิดเกิดขึ้น แม้ในขณะจิต ก็จะไม่มีมารภายนอกมารบกวน#หากเกิดปีติขึ้นหนึ่งขณะจิต มารภายนอกก็จะเข้ามาแทรกทันที ถ้าหากเกิดอกุศลจิตขึ้น มารแห่งอายตนะทั้งหกก็จะเข้ามาพร้อมกัน ก็จะรบกวนไม่ให้เธอออกจากสมาธิ #นี่แหละที่เขาว่ากันว่าเข้าฌานจนกลายเป็นสติฟั่นเฟือน ก็เป็นสาเหตุอย่างนี้ เธอเห็นอะไรต่าง ๆ ในสมาธิจนรู้สึกสงสาร เกิดจิตเมตตา บอกทางออกให้พวกเขา อย่างนี้คือกุศลจิต แต่ไม่เหมาะที่จะบอกพวกเขามาที่นี่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่พ้นที่จะมีจิตเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นบ้าง ชั่วขณะจิตอันนี้เองจึงเป็นการเชื้อเชิญมารภายนอก จนภายหลังเกิดเป็นภาพที่น่ากลัว อันตรายมากนะ หากครูไม่เห็นและมองทะลุ พวกมารก็จะทำให้เธอไม่สามารถออกจากสมาธิ ลูกเอ๋ย! ต่อไปเธอต้องระมัดระวัง อย่าได้คิดฟุ้งซ่าน #ต้องรู้ว่าที่นี่เป็นตอนสำคัญในการเข้าสู่ธรรม ถ้าพลาดแล้วจะไปไกลมากถามต่อไปว่า ตามปกติที่แม่ครูได้บรรยายธรรมนั้นทำไมบางคนจึงไม่ได้ยินธรรมอันแยบยลเหล่านี้ เพราะอะไรหรือ จึงไม่รู้จะเข้าสู่ธรรมโดยทางนี้ ไม่ทราบว่ายังต้องผ่านขั้นตอนอะไรอีกบ้าง โปรดให้ท่านชี้แนะด้วยเถิด ตอบว่า ลูกรักเอ๋ย! สิ่งที่เธอยังไม่รู้ คนเหล่านั้นคนฟังธรรมล้วนเป็นผู้โง่เขลา ถ้าหากนำเอาหลักธรรมที่ลึกล้ำเหล่านี้ไปบรรยายให้ฟัง ไม่เพียงแต่เป่าปีให้กระบือฟังเท่านั้น แต่ยังเสียเวลาเปล่า ทั้งยังจะทำให้ญาณทวารของพวกเขาอุดตัน ไม่มีทางได้ปัญญาเห็นธรรม เพราะฉะนั้นวิธีการบรรยายธรรมให้พวกเขาฟังในระยะเริ่มแรกก็เพียงปรับจิตใจของพวกเขาให้ตรง เมื่อจิตใจตรงแล้ว ญาณทวารก็จะว่างขึ้นเอง เมื่อความโง่เขลาหมดไปแล้ว ค่อยบรรยายถึงขั้นตอนการเข้าสู่ธรรมให้พวกเขา จึงค่อยเข้าใจรู้เรื่องง่ายหน่อย นี่คือสาเหตุที่ไม่ได้บรรยายถึงการเข้าสมาธิ ตลอดจนการบรรลุมรรคผลให้พวกเขาฟัง จะว่าไกลก็ไกล จะว่าใกล้ก็ใกล้เหมือน ๆ กับจะบอกให้ได้ แท้ที่จริงบอกไม่ได้ เรื่องการเข้าสู่สมาธิคือต้องมีบุญกุศลที่มากพอ วิญญาณจึงสามารถออกมาท่องเที่ยวได้ทั่ว…
การปฏิบัตินี้คือ การมาสร้างความรู้อันหนึ่งให้มีกำลังมากกว่าความรู้ที่มีอยู่แล้ว คือ ทำปัญญาให้เกิดขึ้นที่จิต ทำญาณให้เกิดขึ้นที่จิต #จนมีความสามารถที่จะหยั่งรู้กิริยาจิต#ภาษาจิต รู้อุบายของกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ที่เกิดขึ้นมาในจิตนั้นพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
คุณกำลังปรับโฮโลแกรมที่มั่นคงทางร่างกายปรับร่างกายของคุณให้เป็น … ในทุกช่วงเวลา ปรับแต่งความถี่ที่สูงขึ้นเพื่อสั่นสะเทือนให้มีความถี่สูงขึ้น….โลก 3D / ร่างกาย4D โลก / ร่างกาย5D โลก / ร่างกาย6D โลก / ร่างกาย7D โลก / ร่างกาย8D โลก / ร่างกาย9D โลก / ร่างกาย10D โลก / ร่างกาย11D โลก / ร่างกาย12D โลก / ร่างกาย13D โลก / ร่างกาย14D โลก / ร่างกายโลก 15D / ร่างกาย16D Earth / ร่างกาย17D Earth / Body18D Earth / Body19D Earth / Body…
Empathy ( #การหยั่งรู้วาระจิต) #แตกต่างจาก Sympathy (ความสงสาร)Sympathy จะเป็นความรู้สึกของความเศร้าโศกหรือเวทนาไปกับผู้ที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบากในบางเรื่องราว…..แต่ Empathy คือการเสียสละ และแสดงออกด้วยการกระทำที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นซึ่งในขณะที่ Empathy จะดูเหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปด้านบวก และมีจริยธรรมอันสูงส่ง ทั้งยังมีหลักการในการปฏิบัติที่ดีก็ตามที แต่ก็มีบางคนเชื่อว่า การหยั่งรู้วาระจิตผู้อื่นมากเกินไป ก็อาจเป็นอันตรายต่อความผาสุกของตัว Empath (ผู้หยั่งรู้วาระจิต) เอง และอันตรายนั้นอาจลามไปถึงระดับโลกอีกด้วยเพราะพฤติกรรมของการหยั่งรู้วาระจิต (Empathy) ที่มากเกินไปนั้น จะไปรบกวนต่อการตัดสินใจที่ควรจะเป็นไปตามเหตุผล ซึ่งสืบเนื่องจากการที่พวก Empath ชอบที่จะใช้หัวใจนำทางมากกว่าสมอง ซึ่งอาจทำให้พวกเขาสูญเสียภาพที่กว้างขึ้นของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวก็เป็นได้ตามหลักจิตวิทยา… Empathy (การหยั่งรู้วาระจิต) แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ…คือ1. ‘การหยั่งรู้ที่มีความเข้าใจในด้านของปัญญา และองค์ความรู้ ‘ซึ่งมีขีดความสามารถในการเข้าใจว่าผู้คนรู้สึกอย่างไร และกำลังคิดอะไรอยู่ และการหยั่งรู้ในลักษณะนี้ จะทำให้เกิดการสื่อสารได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้เกิดการถ่ายทอดข้อมูลที่สามารถเข้าถึงผู้อื่นได้อย่างตรงประเด็นที่สุด2. ‘การหยังรู้วาระจิตในด้านอารมณ์’ (หรือที่เรียกว่า รับอารมณ์ผู้อื่น) จะมีขีดความสามารถในการแบ่งปันความรู้สึกของบุคคลอื่น ซึ่งบางคนได้เปรียบเทียบไว้คล้ายประโยคที่ว่า…. “ความเจ็บปวดของคุณมันอยู่ในหัวใจของฉัน” …..ซึ่ง การหยั่งรู้ ฯ ในลักษณะนี้ จะทำให้เกิดการสร้างอารมณ์ร่วมในการเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน3. ‘การหยั่งรู้ที่เป็นไปด้วยความเมตตา-กรุณา’ (หรือที่เรียกว่า เอื้ออาทร…
ชีวิตในชาติหนึ่งๆ กับทั้งสุขทุกข์ต่างๆเกิดขึ้นเพราะกรรมที่แต่ละตัวตนทำไว้ฉะนั้น ตนเองจึงเป็น ผู้สร้างชาติคือความเกิดและความสุขทุกข์ของตนแก่ตน หรือผู้สร้างก็คือตนเอง แต่มิได้ไปสร้างใครอื่น เพราะใครอื่นนั้นๆ ต่างก็เป็นผู้สร้างตนเองด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่มีใครเป็นผู้สร้างให้ใคร และเมื่อผู้สร้างคือตนสร้างให้เกิดก็เป็นผู้สร้าง ให้ตายด้วย ทำไมผู้สร้างคือตนเองจึงสร้างชีวิตที่เป็นทุกข์เช่นนี้เล่า ปัญหา นี้ตอบว่า #สร้างขึ้นเพราะความโง่ ไม่ฉลาดคือไม่รู้ว่าการสร้างนี้ก็คือสร้างทุกข์ขึ้นถ้าเป็นผู้รู้ฉลาด เต็มที่ก็จะไม่สร้างสิ่งที่เกิดมาต้องตาย
#คนมีอำนาจเหนือกรรม อาจควบคุมกรรมของตนได้แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าจะต้อง#ควบคุมจิตเจตนาของตนได้ด้วย โดยตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในธรรม เช่นเมตตา สติ ปัญญา #สัจจาธิษฐาน เป็นต้น อันเป็นส่วนจิตและศีลอันหมายถึงตั้งเจตนา เว้นการที่ควรเว้น ทำการที่ควรทำในขอบเขตอันควร คนส่วนมากยังมีความเชื่อว่า#มีผู้ดลบันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นแต่ทางพระพุทธศาสนาได้ แสดงว่าคนมีกรรมเป็นของตน จะมีสุขหรือทุกข์เพราะกรรม ผู้คนเลยหันมากลัวกรรม #กรรมจึงคล้ายเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกเข้าใจในทางร้ายอยู่เสมอ กรรมจึงกลายเป็นอดีตที่น่ากลัว พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนกลัวกรรม ไม่ได้สอนให้ตกเป็นทาสของกรรมหรืออยู่ใต้อำนาจของกรรม #แต่สอนให้รู้จักกรรม ให้มีอำนาจเหนือกรรม #ให้ควบคุมกรรมของตนในปัจจุบัน