Similar Posts
ฉันได้เกิดใหม่บนโลกมนุษย์
ฉันได้เกิดใหม่บนโลกมนุษย์ด้วย ความรัก ความอบอุ่นการถนุถนอมอุ้มชู จาก แม่ ฉันพบความประหลาดใจความผันแปรของโลกย์ที่ไร้จุดจบทั้ง สุข ทุกข์เสียงหัวเราะ ความปวดร้าวด้วยจิต ที่ยึดมั่นไร้ความสงบ สุดท้ายฉันก็ต้องเข้าสู่ความแตกสลายสิ้นสุดนี่คือธรรมชาติแห่งโลกย์ของสังสารวัฏ – องค์กรรมาปะ ลามะ –
หน้าที่ของจิตวิญญาณคืออะไร
จิตวิญญาณ หรือคำเรียก กายในกาย จิตในจิต มรรค ตัวรู้ กายทิพย์ กายใน กายฝัน ตัวตนที่สูงกว่า พระเจ้า พระจิต เทวดาประจำตัว ญาณบารมี และชื่ออื่นๆนี้มีหน้าที่สำคัญยิ่ง ในการช่วยให้วิญญาณมนุษย์ รู้ตัว รู้ในสิ่งที่ถูกรู้ และถูกทาง เพื่อจะช่วยปลดปล่อย วิบากหรือเคราะห์กรรมของดวงวิญญาณมนุษย์ ให้ทราบถึงสิ่งที่ตนได้กระทำมา และทำให้รู้ตัวว่า เพราะเหตุแห่งการกระทำสิ่งนี้ต่อดวงวิญญาณ จึงทำให้ปัจจุบัน พบเจออุปสรรค นานานัปการเพียงไร เพื่อทำให้จิตสำนึกของมนุษย์ได้รู้สึกตัว กลับมารักตัวเอง สำนึกคุณ และหาหานทางสู่การนำพาดวงวิญญาณของตน ให้หลุดพ้น หากมนุษย์ดวงวิญญาณใด หาจิตวิญญาณของตนไม่เจอ ในระหว่างได้รับโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ถือได้ว่า ยังไม่รู้ตัวว่าตนเป็นใคร เพื่อพัฒนาองค์รวมของมนุษย์ให้เป็นผู้สมดุลย์พลังงาน ทุกๆมิติ
ผ่าน 1 ปีของการฝึกฝน
ผ่าน 1 ปีของการฝึกฝน#พึ่งเริ่มตั้งไข่คุณฝน ศิษย์ 1 ใน 3 ของนักเรียนที่ผ่านการฝึกฝน 1 ปี ด้าน กาย จิต จิตวิญญาณ#หนึ่งในผู้พบเจอเทวดาประจำตัวจริง ที่ได้รับโอกาสสดับคำสอนจากจิตสู่จิตถือเป็นบัณฑิตตัวอย่างอีก 1 ท่านที่ดำเนินตามคำสอนอย่างมีระเบียบและวินัยทำให้สามารถใช้ชีวิตของผู้ปฏิบัติสองมิติได้อย่างสมดุลย์จากผู้สงสัย กลายเป็นได้รู้จากตัวกู กลายเป็น ส่วนหนึ่งจากความกลัว เป็นความ เข้าใจจากความไม่เข้าใจ กลายเป็น วิชชาจากน้ำตา กลายเป็น หัวเราะ คนเราจะได้มีโอกาสได้พบเจอเทวดาประจำตัวเป็นสิ่งที่ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้จะมีผู้ใดสอนเรื่องนี้อีกประการสำคัญชีวิตของคนเราเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งยากต่อการเข้าใจและสลับซับซ้อนต้องมีระดับสติปัญญาอย่างเข้าใจและแยบยลที่มนุษย์หนึ่งคนจะสามารถรังสรรค์ความสมดุลย์ต่อการใช้ชีวิตสองมิติแบบนี้ได้ #เราเป็นดวงวิญญาณ ที่ต้องขัดเกลาครูมีนักเรียนมากมายกว่า 300 ชีวิตที่ได้เจอเทวดาประจำตัวแต่ก็ช่างน่าเสียดายว่าพวกเขาทั้งหลายยังไม่เข้าใจความหมายของชีวิตและจิตวิญญาณโชคดีของชีวิต
บารมีเก่า
อย่าคาดหวังว่าจะทำอะไรให้เสร็จง่ายๆ หากเจ้าบังเอิญได้อะไรมาง่า #บารมีเก่า คือ สิ่งที่เราทุกผู้ทุกคนได้สร้างสมบำเพ็ญมาในอดีต ไม่ว่าจะเกิดมาแล้วกี่ภพกี่ชาติก็ตาม เมื่อเราได้ละสังขารไปแล้วในแต่ละชาติภพ สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นทิพย์และจะถูกนำไปเก็บรวบรวมสะสมไว้โดยอัตโนมัติให้กับตัวเราเองในโลกทิพย์ (คล้ายกับการฝากเงินบัญชีออมทรัพย์ในธนาคาร)#การเรียกบารมีเก่า คือการสื่อสารกับโลกทิพย์ ขอนำบุญบารมีเก่าที่เป็นของเรานั้นเองมาใช้พร้อมๆกับการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญบุญในปัจจุบันชาติเพื่อให้การปฏิบัติธรรมนั้นมีความ ก้าวหน้าพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น บรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด แต่ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า เรามีฐานบารมีเก่าของเรามากน้อยแค่ไหน (เหมือนการขอเบิกเงินในบัญชีมาใช้ในการลงทุน ซึ่งหากมีทุนมาก การดำเนินกิจการจะสะดวก,ง่าย,ไปได้เร็ว และได้รับผลกำไรตอบกลับมาเร็วเช่นกัน)#การที่จะเรียกบารมีเก่าของเรามาได้นั้น ซึ่งต้องใช้กำลังของฌานและพลังเยอะมาก การทำด้วยตัวเอง อาจจะเป็นอันตรายถึงขั้นอาจทำให้จิตของท่านแตกได้ ฉะนั้นจึงต้องมีผู้คอยควบคุมดูแลช่วย เหลือไม่ให้มีผลกระทบร้ายๆเกิดขึ้นกับตัวท่านในภายหลัง สิ่งเป็นทิพย์ส่วนหนึ่งจะเข้ามาซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด เนื่องจากฐานบารมีเก่ามีจำกัด ถ้าหากรับไปหมดในคราวเดียวจะทำให้ท่านควบคุมตัวเองไม่ได้ บางท่านทำมาเยอะจะได้ หูทิพย์ตาทิพย์เจโตปริยญาณเลยก็มี สามารถสื่อสารทางโลกทิพย์ ได้ เห็นเทพ, พรหม, วิญญาณ พูดภาษาทิพย์ได้ การปฏิบัติธรรมหลังจากนี้จะให้ผลเร็วมาก จิตของท่านจะละเอียดขึ้น และจะทำให้ท่านได้รับดวงธรรมมาด้วยซึ่งดวงธรรมนี้ก็เป็นทิพย์เช่นกัน#MAEKHUNOYเทวดาประจำตัวรุ่น 45/2021
ครบ 1 ปีการศึกษา นักเรียนประจำ คุณรัชดา
ครบ 1 ปีการศึกษา นักเรียนประจำ คุณรัชดา นักเรียนรุ่น 3540 วันใน 1 ปี ที่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน(ส่งต่อผู้นำอีก 1 ท่านสู่สังคมไทย)“…ครู คือ ปัจจัยสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ครู คือ มนุษย์ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กนักเรียนที่จะพัฒนาคุณลักษณะของตนเองและสร้างค่านิยมต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น#ไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ สามารถมาแทนที่ครูได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว นั่นคือว่า#ทำไมครูที่ดีจึงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตลูกศิษย์ได้ ด้วยการพัฒนาพวกเขาให้เป็นพลเมืองที่ดีและมีความสามารถ ทั้งในระดับชาติและระดับเป็นพลเมืองของโลกด้วย…”พระราชดำรัส สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ ๓ ปี ๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๒
สติ 3 ระดับ
สติ 3 ระดับ > (#คุณมีสติระดับไหน)สติมีด้วยกัน 3 ระดับ1. #สติระดับควบคุมความคิดสติระดับนี้เป็นสติขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ต้องใช้เพื่อดำรงชีวิตประจำวัน เป็นสติที่มีอยู่แล้วในสัตว์โลกตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไป เป็นสติที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงาน ความสัมพันธ์ และการแสดงออกให้เหมาะสมกับกาลเทศะ เช่น นึกว่า “ขณะนี้เรากำลังทำงานอยู่ ก็ต้องตั้งใจทำงาน” หรือนึกว่า “เราไม่ควรไปโกรธเขาเลย ให้อภัยเขาจะดีกว่า จะได้ไม่มีเรื่องติดใจต่อกัน” การฉุกคิดในลักษณะนี้ ล้วนเกิดจากการใช้สติในการควบคุมความคิดทั้งสิ้น》สติระดับที่หนึ่งเป็นสติที่ทำให้เรากลายเป็นผู้มองโลกในแง่ดี ถ้าใช้สติระดับที่หนึ่งบ่อยๆ ชีวิตในโลกภายนอกก็จะพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ2. #สติระดับเห็นความคิดสติระดับนี้เป็นสติที่พระพุทธเจ้าทรงคิดขึ้นมาเป็นคนแรก เป็นการกำหนดสมาธิ วางใจให้เป็นกลาง แล้วจึงใช้สติดึงจิตให้หลุดจากความคิดมาเป็นผู้สังเกต การฝึกสติเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้กลายเป็นผู้เท่าทันความคิด สามารถเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของความคิด ทำให้อยู่เหนืออารมณ์ของตนเองได้ ความทุกข์ต่างๆ จะน้อยลง ความสุขจะเพิ่มขึ้น อัตตาตัวตนจะทุเลาเบา ถ้าฝึกสติในระดับนี้เป็นประจำ สติในระดับแรกก็จะเกิดง่ายขึ้น 》สติระดับที่สองนี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการฝึกจิตอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่การฝึกวิปัสสนากรรมฐานเป็นต้น3. #สติระดับเหนือความคิด (มหาสติมหาปัญญา)สติระดับที่สามนี้ เป็นสติที่ก่อให้เกิดปัญญาทะลุโลก เป็นสติที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนสติในระดับที่สองจนเกิดความชำนาญ สติระดับมหาสติมหาปัญญานี้ ไม่จำเป็นต้องใช้การฉุกคิด เพราะเป็นสติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานเหมือนสายน้ำไหล ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันลืม ไม่มีวันเผลอ ไม่มีคำว่าขาดช่วงขาดตอน กล่าวคือเป็นสติที่มีความเร็ว จนสามารถเห็นว่าความคิดและความรู้สึกมีกระบวนการทำงานอย่างไร…