ตั้งสติ
ตั้งสติ
เราอยู่ในสังคมที่ผู้คนขาดความฉลาดทางอารมณ์ และไม่สามารถควบคุมจิตใจของ
ตนเองให้หลุดลอยไปกับความคิดที่วอกแวกได้ เอาชนะสิ่งนี้ด้วยการนั่งสมาธิ
อย่างน้อย 10 นาทีทุกวัน
(เพิ่มเป็น 15 นาทีใน 10 วันที่ผ่านมา)
ดีที่สุด!
ตั้งสติ
เราอยู่ในสังคมที่ผู้คนขาดความฉลาดทางอารมณ์ และไม่สามารถควบคุมจิตใจของ
ตนเองให้หลุดลอยไปกับความคิดที่วอกแวกได้ เอาชนะสิ่งนี้ด้วยการนั่งสมาธิ
อย่างน้อย 10 นาทีทุกวัน
(เพิ่มเป็น 15 นาทีใน 10 วันที่ผ่านมา)
ดีที่สุด!
เมื่ออัตมันประสานกายสิ่งที่วิญญาณจะเข้าใจบรมวิญญาณ #คือการรู้ความจริงยินดีต้อนรับ #บารมีเก่าเรียนรู้การเป็นมนุษย์อีกครั้งสะสมกรรมดี #ต่อไปให้สูงสุดสาธุอายุบวร
#คนที่มีความสุข โลกสวยงาม คิดบวกตลอดเวลา หมายความว่า เป็นพวกที่ทำอะไรก็สำเร็จไปเสียหมด มีวิธีมองโลกให้สดใสไปทุกอย่าง ถ้าความจริงไม่ดี ก็มองให้มันดีเสีย จึงไม่ค่อยได้เจอความทุกข์ เมื่อไม่ค่อยได้พบความทุกข์ จึงไม่รู้จะปฏิบัติธรรมไปทำไม เชื่อว่าตนเองจัดการทุกอย่างได้ บุคคลพวกนี้ จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง เพราะเป็นไปได้ว่า ชั่วชีวิตเขาอาจไม่ได้ลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อลดทอนภพชาติได้เลย พูดมากเกินไป หมายความว่า เมื่อหาความรู้ได้แล้ว แทนที่จะลงมือปฏิบัติ กลับนำความรู้มาโต้เถียง วิเคราะห์ เที่ยวจับผิดสำนักนั้น สำนักนี้ โดยที่ไม่ได้ลงมือพัฒนาจิตใจของตน ผลที่ตามมาก็คือ จิตใจจะยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ เพราะอัตตาตัวตนพอกพูน คิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่นเพราะรู้หลักธรรมมาก ยึดติดกับรูปแบบอัตลักษณ์ หมายความว่า มีความเข้าใจผิด ชอบคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะต้องทำในวัด นุ่งขาวห่มขาว ต้องมีกฏระเบียบที่แตกต่างไปจากการใช้ชีวิตธรรมดา คนกลุ่มนี้จะติดวัดเป็นพิเศษ ชอบหาเวลาเข้าวัดไปปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ได้ไปวัด จะรู้สึกว่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า ไปติดสังคมในวัด ไปหาเพื่อนคุยในวัด ซึ่งกลายเป็นกับดักอีกรูปแบบหนึ่ง ปฏิบัติผิดวิธี หมายความว่า เป็นกลุ่มที่โชคร้าย เพราะคิดดี และต้องการทำดี แต่ไปเจออาจารย์ไม่ดี เจออรหันต์ปลอม เจอสิบแปดมงกุฏ จึงทำให้การปฏิบัติผิดทิศผิดทางไปหมด คล้ายๆกับองคุลีมาลที่ถูกอาจารย์หลอก ในข้อนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการคบหากัลยาณมิตร…
#มองเข้าไปข้างในเพื่อค้นหาความจริงคุณจะไม่มีวันค้นพบความจริงว่าคุณเป็นใครหรือมาจากไหนโดยอาศัยมุมมองของคนอื่นโดยไม่คำนึงถึงพรสวรรค์ของพวกเขาทำงานกับพระเจ้าของคุณเองเท่านั้น ของขวัญของคุณจะสอดคล้องและให้ข้อมูลที่คุณไม่สามารถหาได้จากผู้อื่น หยุดแสวงหาการตรวจสอบจากคนรอบข้างหยุดรอให้คนอื่นรักษาคุณ ไม่มีสิ่งใดที่คนคนหนึ่งรักษาอีกคนหนึ่งได้จริงๆ ผู้รักษาจะให้เมล็ดพันธุ์แห่งสติหรือความถี่ของการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยให้คนอื่นรักษาตัวเองได้เท่านั้น คุณมักจะรักษาตัวเองและทำให้ตัวเองป่วยอยู่เสมอ เมื่อความสมดุลเปลี่ยนไปสู่สภาวะที่มีการสั่นสะเทือนสูง #โรคจะไม่เข้าสู่ร่างกายของคุณอีก #พูดกับโครงสร้างเซลลูลาร์ของคุณและดูการตอบสนอง ระบบร่างกายที่ชาญฉลาดอยู่ในตัวคุณที่ควบคุมสุขภาพทั้งหมดของคุณเป็นหน่วย ไม่ใช่แค่ด้านเดียว ระบบร่างกายที่ชาญฉลาดประกอบด้วย DNA หลายล้านล้านชิ้น ที่ได้ยินทุกสิ่งที่คุณตั้งใจและตอบสนองตามนั้น คุณคิดว่าการทุเลาโดยธรรมชาติเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่? นั่นคือ DNA ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ในเสี้ยววินาที และมันเกิดขึ้นตลอดเวลา DNA ของคุณ กำลังรอให้คุณกลายเป็นควอนตัม เช่นเดียวกับที่เป็นควอนตัม DNA ของคุณไม่เข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูดกับคุณ #มันเข้าใจสิ่งที่คุณพูดกับตัวเอง คุณเป็นผู้รักษาที่ดีที่สุดของคุณ คุณเป็นครูที่ดีที่สุดของคุณ คุณคือทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดของคุณ คุณเป็นส่วนหนึ่งของทุกสิ่ง และทุกสิ่งเป็นส่วนหนึ่งของคุณ ตระหนักว่า DNA ของคุณสามารถขยายตัวเองได้ในรูปแบบที่สะท้อนถึงทุกสิ่งที่คุณคิด รู้สึก และกระทำในชีวิตประจำวันของคุณ สุขภาพและโรคทั้งหมดเกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดนี้ก่อน ใช้เวลา ไตร่ตรอง หรือไตร่ตรองว่าคุณเป็นใครและกำลังจะไปที่ใด เดินเล่นในธรรมชาติและสื่อสารกับลมหายใจของคุณและ แม่ธรรมชาติ เอง มีปัญญามากมายอยู่ที่นั่นและรอฟังจากท่านอยู่ #คุณเป็นที่รักมากกว่าที่คุณจะจินตนาการได้
จิต กับ วิญญาณ 2 สิ่งนี้ต้องแยกกันในที่สุด เหมือนเมล็ดข้าวจิตเปรียบเสมือน ข้าวขาววิญญาณเปรียบเสมือน เปลือกข้าวถ้าจิตกับวิญญาณไม่แยกจากกันมนุษย์ก็จักไม่รู้ความจริงของวิญญาณ ทางการฝึกฝนเรียกว่า การแยกกายแยกจิต แยกรูปแยกนาม (อาจฟังดูง่าย) เมื่อไม่เข้าถึง การฝึกฝนก็เปรียบได้กับการพายเรือในอ่าง
จิตวิญญาณและวิทยาศาสตร์มาบรรจบกันการรวมตัวกันระหว่างชุมชนทางจิตวิญญาณและวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับมนุษย์ในการใช้ชีวิตที่สดใส มีสุขภาพดี และเจริญรุ่งเรือง ตัวบ่งชี้ที่สำคัญว่ากระบวนทัศน์ด้านสุขภาพใหม่กำลังมาถึงเรา วิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณเช่นเดียวกับสมองและร่างกาย ได้ประโยชน์มากมายจากการ #โอบรับปัญญาที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องแบ่งปัน เรามีวิวัฒนาการมามากพอที่จะรู้ว่าคำตอบที่เราแสวงหาไม่ได้เหมือนกัน/หรือเสมอไป ?️? ร่างกายของคุณจะขอบคุณสำหรับการฟัง อารมณ์ของคุณ จะปลดปล่อยออกมาอย่างอิสระเมื่อรู้สึกยินดีและคุณภาพชีวิตของคุณจะเพิ่มขึ้น
Empathy ( #การหยั่งรู้วาระจิต) #แตกต่างจาก Sympathy (ความสงสาร)Sympathy จะเป็นความรู้สึกของความเศร้าโศกหรือเวทนาไปกับผู้ที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบากในบางเรื่องราว…..แต่ Empathy คือการเสียสละ และแสดงออกด้วยการกระทำที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นซึ่งในขณะที่ Empathy จะดูเหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปด้านบวก และมีจริยธรรมอันสูงส่ง ทั้งยังมีหลักการในการปฏิบัติที่ดีก็ตามที แต่ก็มีบางคนเชื่อว่า การหยั่งรู้วาระจิตผู้อื่นมากเกินไป ก็อาจเป็นอันตรายต่อความผาสุกของตัว Empath (ผู้หยั่งรู้วาระจิต) เอง และอันตรายนั้นอาจลามไปถึงระดับโลกอีกด้วยเพราะพฤติกรรมของการหยั่งรู้วาระจิต (Empathy) ที่มากเกินไปนั้น จะไปรบกวนต่อการตัดสินใจที่ควรจะเป็นไปตามเหตุผล ซึ่งสืบเนื่องจากการที่พวก Empath ชอบที่จะใช้หัวใจนำทางมากกว่าสมอง ซึ่งอาจทำให้พวกเขาสูญเสียภาพที่กว้างขึ้นของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวก็เป็นได้ตามหลักจิตวิทยา… Empathy (การหยั่งรู้วาระจิต) แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ…คือ1. ‘การหยั่งรู้ที่มีความเข้าใจในด้านของปัญญา และองค์ความรู้ ‘ซึ่งมีขีดความสามารถในการเข้าใจว่าผู้คนรู้สึกอย่างไร และกำลังคิดอะไรอยู่ และการหยั่งรู้ในลักษณะนี้ จะทำให้เกิดการสื่อสารได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้เกิดการถ่ายทอดข้อมูลที่สามารถเข้าถึงผู้อื่นได้อย่างตรงประเด็นที่สุด2. ‘การหยังรู้วาระจิตในด้านอารมณ์’ (หรือที่เรียกว่า รับอารมณ์ผู้อื่น) จะมีขีดความสามารถในการแบ่งปันความรู้สึกของบุคคลอื่น ซึ่งบางคนได้เปรียบเทียบไว้คล้ายประโยคที่ว่า…. “ความเจ็บปวดของคุณมันอยู่ในหัวใจของฉัน” …..ซึ่ง การหยั่งรู้ ฯ ในลักษณะนี้ จะทำให้เกิดการสร้างอารมณ์ร่วมในการเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน3. ‘การหยั่งรู้ที่เป็นไปด้วยความเมตตา-กรุณา’ (หรือที่เรียกว่า เอื้ออาทร…